AstraZeneca เป็นหนึ่งในลูกค้ารถยนต์แบบกลุ่มในระดับนานาชาติกลุ่มแรกๆ ของ Volvo Cars และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กลับมาเป็นผู้ให้บริการที่แนะนำอีกครั้ง
ภาพด้านบน: Volvo EX30 รถ SUV ที่เล็กที่สุดของเรา
การเปลี่ยนแปลงสู่ [รถยนต์ไฟฟ้า] อย่างรวดเร็วของ Volvo Cars (https://www.volvocars.com/intl/cars/electric-cars/) และการมุ่งเน้นอย่างมั่นคงในด้านความยั่งยืน เป็นสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AstraZeneca เลือกที่จะกลับมายัง Volvo Cars ในการนำเสนอโอกาสในการได้ขับรถรุ่นใหม่ที่มีความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมให้กับพนักงานของตน
AstraZeneca มีรากฐานมาจากสวีเดนเช่นเดียวกับ Volvo Cars เริ่มต้นจากการที่กลุ่มแพทย์และเภสัชกรชาวสวีเดนรวมตัวกันเพื่อก่อตั้ง Astra AB ในปี พ.ศ.2456 โดยมีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการดูแลสุขภาพ บริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องนับแต่นั้นมา และในปี พ.ศ.2542 พวกเขาก็ได้ควบรวมกิจการกับบริษัทเวชภัณฑ์ Zeneca ของอังกฤษ และร่วมกันก่อตั้ง AstraZeneca ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 80,000 คนทั่วโลก
ความยั่งยืนและความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งใน DNA องค์กรของ AstraZeneca ที่ฝังอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของพวกเขา โดยบริษัทได้นำเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ที่อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์มาใช้ และในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ลดการปล่อยคาร์บอน บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากกลุ่มรถยนต์ของบริษัท พวกเขาจึงตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนไปใช้กลุ่มยานยนต์ระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (EV) ในทุกที่ที่ทำได้ภายในสิ้นปี พ.ศ.2568 และ AstraZeneca ก็พบกับคู่ที่เหมาะสมอย่าง Volvo Cars ในการรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ EV
“AstraZeneca เลือก Volvo Cars เป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านยานยนต์ที่แนะนำหลังจากวิเคราะห์การสรรหาอย่างละเอียดแล้ว ทั้งสองบริษัทมีความทะเยอทะยานอันแรงกล้าสำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบเดียวกัน นั่นก็คือเป้าหมายของ AstraZeneca คือการใช้กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบทั่วโลกในทุกที่ที่ทำได้ภายในสิ้นปี พ.ศ.2568 และ Volvo Cars ก็ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี พ.ศ.2573 อีกทั้งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ของ Volvo Cars ก็ตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของ AstraZeneca ได้ในหลายประเทศ” Natasa Vidmar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของ AstraZeneca กล่าว
สำหรับ Volvo Cars ความยั่งยืน และความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ โดยเราตั้งเป้าที่จะเป็นผู้บุกเบิกในการปกป้องผู้คนและโลกด้วยการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ การใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน และการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมของเรา โดยตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ.2583 ไม่เพียงแค่ยุติการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบภายในปี พ.ศ.2573 หากยังรวมถึงการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของเราด้วย ในปัจจุบัน เรามีรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 4 รุ่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา พร้อมด้วยรุ่นอื่นๆ ที่วางแผนไว้สำหรับอนาคต และความปลอดภัยก็เป็นรากฐานสำคัญ ซึ่งทำให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำในสาขานี้เช่นที่เป็นมาเสมอ
“เราเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในเชิงลึกเพื่อแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยกว่า 20% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง (GHG) ของเรามาจากกลุ่มยานยนต์ของ AstraZeneca การเปลี่ยนไปใช้กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ควบคุมได้โดยตรงของเรา นั่นก็คือในขอบเขตที่ 1 และ 2 ลงให้ได้ 98% ภายในปี พ.ศ.2569” Juliette White รองประธานฝ่ายความยั่งยืนและฝ่าย SHE ระดับโลกของ AstraZeneca กล่าว
พนักงานที่หลากหลายในหลายประเทศ
ปัจจุบัน AstraZeneca มีกลุ่มรถยนต์ของบริษัททั่วโลกประมาณ 20,000 คัน รถยนต์ส่วนใหญ่ใช้งานโดยตัวแทนฝ่ายขายที่จำเป็นต้องใช้รถทุกวัน ในขณะที่รถอื่นๆ ใช้งานโดยพนักงานซึ่งจัดเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่ได้รับจากบริษัท ด้วยตำแหน่งหน้าที่และความต้องการทางอาชีพที่หลากหลายเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะได้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดของเราได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่พนักงาน
“AstraZeneca เลือก Volvo Cars เป็นหนึ่งในพันธมิตรด้านยานยนต์ที่แนะนำหลังจากวิเคราะห์การสรรหาอย่างละเอียดแล้ว ทั้งสองบริษัทมีความทะเยอทะยานอันแรงกล้าสำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบเดียวกัน นั่นก็คือเป้าหมายของ AstraZeneca คือการใช้กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบทั่วโลกในทุกที่ที่ทำได้ภายในสิ้นปี พ.ศ.2568 และ Volvo Cars ก็ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบภายในปี พ.ศ.2573 อีกทั้งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ของ Volvo Cars ก็ตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของ AstraZeneca ได้ในหลายประเทศ” Natasa Vidmar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อของ AstraZeneca กล่าวประวัติของ Volvo Cars กับ AstraZeneca
นี่ไม่ใช่การร่วมมือกันครั้งแรกของ Volvo Cars และ AstraZeneca ความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทนั้นสามารถย้อนกลับไปถึงช่วงทศวรรษ 1980 โดย AstraZeneca ที่ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Astra AB ได้ติดต่อกับ Volvo Cars เพื่อขอให้มีจุดติดต่อเพียงจุดเดียวสำหรับความร่วมมือด้านยานยนต์แบบกลุ่มทั่วโลกกับ Volvo Cars
ผลที่ได้ก็คือ คำขอนี้ทำให้พวกเราที่ Volvo Cars สร้างทีมยานยนต์แบบกลุ่มส่วนกลางขึ้นมา ที่เราเรียกว่า Global Major Accounts ซึ่งยังคงดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน และนับตั้งแต่ลงนามข้อตกลงฉบับแรกกับ AstraZeneca เราก็ได้ร่วมงานกันมานานหลายปี จนในทุกวันนี้ เราก็มีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าที่เคย
ทีมงาน Global Major Accounts ของเราเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ความร่วมมือครั้งแรกกับ AstraZeneca และตอนนี้เราได้ช่วยเหลือบริษัทระดับโลกหลายแห่งที่ต้องการกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องยานยนต์แบบกลุ่มมากกว่าสองประเทศ
"Volvo Cars มีประสบการณ์มากมายในการทำงานร่วมกับ ลูกค้ายานยนต์แบบกลุ่ม ตั้งแต่บริษัทเล็กๆ ในท้องถิ่นที่มีพนักงานเพียงไม่กี่คน ไปจนถึงบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งที่ Volvo Cars เราภาคภูมิใจที่สามารถสนับสนุนทุกบริษัทไม่ว่าจะมีขนาดใดก็ตาม ในเรื่องความต้องการด้านยานพาหนะของพวกเขา โดยผ่านทั้งเพื่อนร่วมงานของเราในแต่ละประเทศและจากส่วนกลางเอง และเราก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ AstraZeneca กลับมาเป็นลูกค้าระหว่างประเทศอีกครั้ง เนื่องจากเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนานร่วมกันมา" Joanne Machin ผู้อำนวยการทีม Global Major Accounts ของ Volvo Cars กล่าว